Share

ประสบการณ์วัยมันส์ – อุ๋ย บุดด้าเบลส

April 3, 2018

Lifeis

วันจัดงาน : March 20, 2018

เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมารายการของไลฟ์อีสทางคลื่น Mellow 97.5 ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณอุ๋ย บุดด้าเบลส เกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เป็นช่วงที่มีพลังพลุ่งพล่าน เลยมาคุยกันว่าเราควรจะจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ซึ่งนอกจากพี่บอย กับพี่ไลฟ์ ที่ดำเนินรายการประจำแล้ว พี่นภยังมาดำเนินรายการร่วมด้วย …จัดเต็มขนาดนี้ ต้องมาดูกันเลยว่าเนื้อหาจะสนุกแค่ไหน

คุณอุ๋ยเปิดบทสนทนาว่า “ดูผมเป็นเยี่ยงนะครับ แต่อย่าเอาเป็นอย่าง” …. แค่เปิดหัวก็น่าติดตามแล้วว่าผ่านประสบการณ์ชีวิตอะไรบ้าง ….ลองมาดูกัน

อัพเดทชีวิตกันก่อนว่าตอนนี้คุณอุ๋ยทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้ก็เป็นศิลปินอิสระ แต่งเพลง และเป็นโปรดิวเซอร์บ้าง แต่งานที่ชอบที่สุด (ที่หาเงินได้) ที่คือการเป็นคอลัมนิสต์ในรายการเจาะใจ เป็นช่วงเวลาที่จะหาเรื่องดีๆมาเล่าให้คนอื่นฟังเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ส่วนงานอาสาที่ทำมาเรื่อยๆคือ การไปพูดตามมหาวิทยาลัย เพราะนอกจากเราจะได้แชร์ประสบการณ์ตัวเองแล้ว ยังได้รับพลังจากเด็กๆกลับคืนมาอีกด้วย ซึ่งจริงๆผมทำมาหลายปีแล้ว แต่จะมีแค่หน่วยงาน หรือคนที่เคยทำกิจกรรมแบบนี้ด้วยกันที่รู้ แต่หลังจากช่วงออกทีวี คนก็เริ่มเห็นอีกมุมหนึ่งของเรา เลยเริ่มมีติดต่อเข้ามาเยอะขึ้น

ส่วนมากผมจะไม่ค่อยเตรียมตัวไปพูด เพราะมันเหมือนกับจำข้อคิดดีๆมา แต่จะถามก่อนว่าอยากให้เด็กที่มาฟังได้ประโยชน์อะไรกลับไป และเด็กโดนบังคับมา หรือสมัครใจจะมาฟังเอง ซึ่งผมก็จะมีวิธีพูดที่ต่างกันไปด้วย แต่ส่วนใหญ่สิ่งที่จะพูดคือเรื่องที่ผ่านจากประสบการณ์จริงของตัวเอง ผ่านมาจากใจของผมแล้ว เพราะผมเองก็ผ่านเรื่องร้ายๆมาพอสมควร ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง มันเลยเกิดความเข้าใจมากกว่า แต่อยากบอกน้องๆว่าหลายๆเรื่องมันไม่จำเป็นต้องผ่านก็ได้ ใช้วิธีเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของคนอื่นเอา เพราะถ้าเราอยากมีประสบการณ์จริงทุกเรื่อง ชีวิตของเราอาจจะไม่พอ

ปกติเวลาไปพูด ผมมองหน้าเด็กบางคนก็พอจะดูออกแล้วว่าเค้าไม่เชื่อผมหรอก แต่ผมชอบเด็กแบบนี้ อยากบอกน้องว่า น้องมาถูกทางแล้ว เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นวิถีที่ถูกต้องในการที่จะไม่เชื่อในทันที และวิธีการเรียนรู้ของเค้าจะทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกัน

 


ขอย้อนกลับไปในสมัยเด็กๆ คุณอุ๋ยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กแบบไหน

ผมเป็นเด็กก้าวร้าวมากครับ เป็นลูกคนเล็กของบ้าน มีพี่สาว 2 คน แม่ดุเหมือนกัน ส่วนพ่อนี่ไม่บ่นเท่าแม่ แต่พูดแล้วผมจะฟัง แต่ยังไงผมก็ยังเป็นเด็กก้าวร้าวมากๆกับทุกคน พูดคำหยาบตั้งแต่ 5-6 ขวบ และก็คิดตั้งแต่เด็กๆว่า ต่อให้เป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายก็ไม่สนทั้งนั้น ถ้าผมคิดว่าผมไม่ผิด ผมจะไม่ยอม ถ้าคนเราจะวัดความถูกผิดจากอายุ ก็ไม่ต้องเขียนกฎหมายขึ้นมาก็ได้ ไม่เคยเชื่อเรื่องระบบอาวุโส หรือแม้กระทั่งว่า เวลาคนมาบอกว่า พ่อแม่มีบุญคุณกับเรา นี่ผมคิดในใจว่า “ผมไม่ได้ขอมาเกิดซักหน่อย ก็ทำให้ผมเกิดมาเองอ่ะ” (ถึงตรงนี้ พี่บอยถึงขั้นต้องขอเบรค และย้ำกับคนฟังว่า แต่วันนี้ คุณอุ๋ยไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว และพี่บอยยืนยันว่า คุณอุ๋ยมีความเคารพ และกตัญญูต่อพ่อแม่พี่น้องมาก)

ในบรรดาญาติพี่น้องทั้งหมด ผมจะเป็นหลานคนเล็ก มีพี่ๆเป็น 10 คน พอเวลารวมตัวญาติๆ เค้าก็จะไม่ค่อยให้ผมเล่นด้วย หรือไม่ก็เป็นตัวแถม โดนแกล้งตลอด ผมก็คิดว่า แกล้งผมได้ เพราะแค่ตัวใหญ่กว่า งั้นมาลองดูว่าถ้าผมมีตัวช่วยจะยังแกล้งผมอยู่มั๊ย ผมเลยเข้าครัวหยิบมีด พร้อมแทงจริง คิดแค่ว่าถ้าจะปะทะก็เข้ามาได้เลย ผู้ใหญ่ต้องเข้ามาห้ามกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต (ตอนนั้นยังไม่ถึง 10 ขวบเลยครับ) ตอนนั้นแม่เครียดกับผมมาก เพราะผมตวาด ตะคอกทุกที่ ไม่ยอมใครเลย โกรธง่าย หายยาก อาฆาตแค้น คือแบบนรกส่งมาเกิดแท้ๆเลยครับ

ผมคิดเอาเองว่าพฤติกรรมพวกนี้มันน่าจะติดตัวผมมาโดยกำเนิด ตอนเด็กๆเหมือนเป็นคนโรคจิต ชอบดูภาพที่มีเลือด ชอบความรุนแรง ชอบหนังสยองขวัญ (แต่ทุกวันนี้ดูแบบนี้ไม่ค่อยได้แล้ว) งานอดิเรกของผม คือ การนั่งจินตนาการว่าผมจะทรมานมนุษย์ยังไงให้ทรมานที่สุด …นี่ผมพูดแล้วผมยังกลัวตัวเองเลยว่าตอนนั้นผมเป็นแบบนั้นได้ยังไง (ถึงตรงนี้ พี่บอยก็ต้องขอย้ำอีกทีว่า ทุกวันนี้คุณอุ๋ยไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วจริงๆ)

สมัยผมประถม ผมชอบรังแกคนอื่นแบบไม่มีเหตุผล แกล้งแหลกราญแบบไม่รู้สึกผิด เช่น เห็นคนนั่งเล่นที่บ่อทรายอยู่เฉยๆแล้วผมจะกระโดดถีบเลย ไม่ได้ไม่ชอบหน้าหรืออะไร แต่มันสนุก พลังงานผมเยอะ เวลาเพื่อนชวนเล่นต่อสู้ เพื่อนก็คาดหวังว่าเราจะชกปลอมๆ แล้วเค้าก็จะแกล้งหลบ แต่ผมชกจริง แล้วเพื่อนผมก็ร้องไห้ วิ่งไปฟ้องครู ผมก็โมโหเพื่อนว่า ก็ชวนเล่นเอง แล้วจะไปฟ้องครูทำไม โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าคนอื่นเค้าชกกันแบบไม่โดน แต่พอถึงม.ปลายนี่เป็นน้อยลงละ จะเป็นประมาณว่า ซื้อขนมมา แล้วก็เทลงพื้น แล้วก็เอาเท้าเหยียบๆๆๆ เสร็จแล้วก็เทใส่ลงไปในซองให้เพื่อนกินใหม่ แบบนี้มากกว่า ไม่ได้ทำร้ายใคร

 

แล้วที่บ้านจัดการกับเรื่องนี้ยังไง

ช่วงป.1 – ป.3 พ่อแม่ส่งไปอยู่กับย่าและคุณอาเพราะว่าเอาผมไม่อยู่ จำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้ ไม่มีความสุข ไม่อยากกลับบ้าน คุณอาก็เบรคผมได้ในระดับนึง ผมมีระเบียบวินัยมากกว่าเดิมเยอะ โดยคุณอาจะตี ดุ ซึ่งผมก็กลัวบ้าง แต่ก็ไม่มาก (ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าผู้ใหญ่จะสั่งสอนเด็กด้วยการตีก็ทำได้ แต่อย่าแรง) ถ้าผมอยากทำอะไรจริงๆ ก็ทำ แล้วก็ยอมโดนทำโทษ เช่น ผมทำการบ้านไม่เสร็จ แต่ผมจะเล่น  เพราะผมไม่ชอบเรียน ขนาดที่ว่าตอนผมม.6 เปิดกระเป๋ามายังเจอหนังสือ ม.4 อยู่เต็มเลย เพราะผมหิ้วกระเป๋านักเรียนไปเป็นพร๊อพเฉยๆ

ตอนโดนคุณอาตี ผมแค้นฝังใจมาก เพราะผมเอาคืนไม่ได้ คือตอนเด็กเนี่ย อย่างเวลาที่เล่นตีกันไปตีกันมากับเพื่อน ผมจะมี mindset ในหัวเลยว่า ต่อให้ฟ้ามืด ต่อให้เลิกเรียน หรือจะดึกแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมเป็นคนที่ถูกตีเป็นคนสุดท้าย ผมจะไม่ลุกไปไหนจนกว่าจะชนะให้ได้ ประมาณว่าโดนใครตีมา ต้องเอาคืน ตอนที่โดนคุณอาตีแรงที่สุดคือตอนที่ไปโกหกว่าทำการบ้านเสร็จแล้ว เลยโดนคุณอาตีหน้าจนเลือดกำเดาไหล ซึ่งผมเป็นคนเลือดกำเดาไหลง่ายอยู่แล้ว คุณอาไม่ได้ตีแรงอะไรมาก แต่พอเลือดมันไหล ผมเลยอยากเอาคืนมากๆ ..อย่างที่บอก ผมเป็นเด็กที่ใช้อารมณ์นำ ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น แต่พอเวลาผ่านไป ผมเห็นหลานที่ดื้อ แถมไมได้ดื้อเท่าผมด้วยซ้ำ ผมยังหงุดหงิดมาก ตอนนี้ผมเลยเข้าใจคุณอามากๆ และรักคุณอามากด้วย

 

พอโตขึ้นมาแล้วยังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า

ตอนม.ต้น ผมเปลี่ยนรร. ยังมีแกล้งเพื่อนอยู่บ้าง แต่ฮอร์โมนมาพลุ่งพล่านเอามากๆตอนม.ปลาย แต่ผมไม่ได้แสดงออกผ่านทางความรุนแรง หรือการชกต่อย แต่จะเป็นไปสร้างความเดือดร้อนแบบไร้สาระแทน เช่น ผมจะโมดิฟายด์ BB Gun ให้แรงๆขนาดที่ยิงแล้วเนื้อแตกได้ แล้วตอนกลางคืนไปเดินเล่นแถวเอกมัย ก็จะเอา BB Gun ไปยิงหลอดไฟหน้าบ้านคน เค้าจะได้ประหยัดไฟ แล้วอันที่ผมคิดว่าเลวสุดๆคือไปยิงหลอดนีออนสนามเทนนิสที่เป็นแผงใหญ่ๆตกลงมาทั้งแผง ซึ่งอันนี้มันเหมือนเป็นการเรียนรู้การมีอำนาจในมือได้เลยนะ เพราะเวลาที่ผมถือ BB Gun อยู่ในมือทุกคนจะกลัวผม และผมก็จะรู้สึกสนุกสนานมาก เท่านั้นไม่พอ ปกติคนที่มี BB Gun จะไม่กล้ายิงเพื่อน เพราะกลัวเพื่อนโกรธ ผมจะกล้า ผมไม่กลัว เพราะพอผมยิงเพื่อนเสร็จ ผมก็จะยิงตัวเองเป็นการเอาคืน ทำให้เวลาผมมี BB Gun ในมือแล้วเพื่อนจะกลัวผมมาก

ตอนช่วงลอยกระทง ผมจะไปรับดอกไม้ไฟมาขาย เพราะผมจะเอาเงินที่ขายได้ไปซื้อดอกไม้ไฟมาเล่นฟรี ตอนไปโรงเรียน ผมก็จะพกกระจับไปเยอะมาก แล้วพอผมสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ผมก็จะเสียบบุหรี่กับกระจับแล้วก็เอาไปแอบไว้ตามมุมต่างๆในห้องน้ำแล้วเดินออกมา พอมันระเบิดในห้องน้ำแคบๆนี่เสียงจะดังมาก กระดาษลอยเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครจับผมได้เพราะผมตั้งเวลาเอาไว้ ผมเล่นแบบนี้บ่อยขนาดที่ว่า เวลามีคนสูบบุหรี่หน้าห้องน้ำกันเยอะๆ ผมก็เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้ววิ่งอุดหูออกมาเฉยๆทั้งๆที่ผมไม่มีกระจับ แต่คนที่สูบบุหรี่อยู่นี่ถึงขั้นทิ้งบุหรี่แล้ววิ่งตามผมมาหมดเลย (เพื่อนผมจะรู้ว่าผมเล่น แต่ไม่มีใครไปฟ้องครู เพราะเค้าก็ชอบให้ผมเล่น)

ครั้งที่หนักสุด คือ โมดิฟายด์ระเบิด ผมจำได้เลยว่า ตอนนั้นหลวงพ่อคูณมาเทศน์ที่โรงเรียนแล้วแจกกระบอกน้ำมนต์ ผมไปเทน้ำมนต์ทิ้งหมด แล้วใช้ไข่ที่มันเป็นประทัดที่แรงสุดๆประมาณ 20 ลูกใส่ลงไปในกระบอก แล้วเทดินระเบิดลงไปเสร็จแล้วติดสกอตเทปมาพันให้แน่นๆ ตอนนั้นก็รู้ว่าถ้าวางไว้ในห้องน้ำ แล้วเกิดไปโดนคนนี่ต้องตายแน่ๆ ผมเลยเอาไปไว้ที่บันไดใต้ตึกชั้น 1 ที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน เสร็จแล้วผมก็จุดบุหรี่เสียบไว้แล้วรีบวิ่งออกมา นั่งรอดูอยู่กับเพื่อน 20-30 คน ตื่นเต้นมาก พอระเบิดขึ้นมานี่เห็นเป็นกลุ่มควันดำๆลอยออกมาจากตึก ห้องพักครูที่อยู่ชั้น 2 สั่นไปหมด แต่ผมไม่กล้าเดินไปดูเพราะกลัวโดนจับได้ มากลับเข้าไปอีกทีตอนประมาณ 6 โมงเย็น เห็นไม้สักหนาๆที่เป็นชั้นวางของนี่เป็นหลุมลงไปเลย

ประสบการณ์ที่เป็นที่สุดในวัยรุ่นคืออะไร

เพื่อนๆผมไม่ค่อยมีเรื่องตีรันฟันแทงกับใคร ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องยาเสพติดมากกว่า ไม่ค่อยทำร้ายคนอื่น แต่ทำร้ายตัวเอง ผมเริ่มเสพกัญชาครั้งแรกตอนประมาณ ม. 5 ตอนนั้นก็คิดเหมือนคนอื่นว่า “ครั้งเดียวไม่ติดหรอก” แต่พอเอาเข้าจริงๆมันติดใจ แล้วก็เลยยาวเลย แต่โชคดีที่สุดท้ายผมเปลี่ยนได้ เพราะเพื่อนๆผมในวัยนั้นส่วนมากจะเพิ่มมากขึ้น หรือไม่ก็ขยับไปเป็นเฮโรอีน คนที่ตายคาเข็ม หรือติดคุกอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็มี หลายคนก็เรียน 8 ปีจบ บางคนก็เรียนไม่จบ คนที่สามารถเรียนจบ 4 ปีแล้วใช้ชีวิตปกตินี่น้อยมาก

ผมยืนยันว่าเรื่องยาเสพติดนี่อยู่ที่คนก็จริง แต่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยที่ไม่ได้มีระเบียบวินัยควบคุมตัวเองได้ พอได้ลองแล้วก็มักจะยาวเลย ส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองใช้เป็น แต่ไม่ใช่ ถึงเวลาลองแล้วส่วนมากจะติดใจ ไม่ใช่ติดกาย ผมมีเพื่อนคนนึงที่เป็นคนติดยาจริงๆ ทุกวันนี้ไม่ได้สูบเพื่อความบันเทิงแล้ว แต่เป็นการสูบเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ ร่างกายซูบผอม กินข้าวน้อย สูบแต่ควัน  เพราะเค้าติดสภาวะที่เป็นแบบนั้น เวลาไม่ได้สูบแล้วหงุดหงิด ทำงานอะไรไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่เลี้ยง ทุกวันนี้เค้าก็รู้ตัว แล้วก็พยายามปรับปรุงตัวอยู่ และเค้าก็เสียดายว่าถ้าเค้ามีความรับผิดชอบที่ดีกว่านี้ ชีวิตเค้าคงจะดีกว่านี้

“น้องๆหลายคนที่ฟังอยู่ อาจจะคิดว่า คนใช้แล้วไม่ติดขนาดนั้นก็มี
เราคงไม่เป็นถึงขนาดนั้นหรอก ก็อยากบอกว่า เพื่อนผมคนนี้ในสมัยนั้นก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าคุณอยากไปลองประสบการณ์ตรงก็เป็นเรื่องของคุณ คุณก็ไปเดินทางนั้นตามที่คุณต้องการได้
แต่ถ้ามันจะผิดพลาด จะเสียเวลาเรียน
7-8 ปี หรืออะไรก็ตามแต่ คุณก็ต้องยอมรับผลที่เกิดตามมาด้วย”

 

ตัวแปรอะไรที่ทำให้เราไม่ทำตามกรอบ ทั้งๆที่เรารู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด

ตอบได้เลยว่า “เพื่อน” ครับ จริงๆในกลุ่มนี่ผมเรียบร้อยที่สุดนะครับ ไม่ค่อยมีเรื่องต่อยตีกับใคร ผมจะชอบเล่นบาส สูบกัญชา ฟังเพลง แล้วจะมีเพื่อนที่เป็นหัวโจกที่แรงๆอยู่ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในคุก

แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้อยากจะโทษว่าเป็นเพราะเพื่อนซะทีเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับการเลือกของเราด้วย ตอนนั้นผมจะมีเพื่อน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เล่นยาเสพติด กับกลุ่มที่ปั่นจักรยาน เล่น BB Gun แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเลย ผมก็อยู่ทั้ง 2 กลุ่มเนี่ยแหละ

 

ฟังวีรกรรมในวัยเด็กของอุ๋ยแล้วเป็นยังไงบ้าง แสบไม่เบาทีเดียวเลยใช่มั๊ยฮะ ??
คิดว่าหลายๆคนคงลุ้นกันอยู่ว่าอะไรที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของอุ๋ย ให้เค้ามาเป็นอุ๋ยที่เลิกยาเสพติด เลิกเที่ยว เลิกปาร์ตี้ และหันมาเป็นจิตอาสาสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆวัยรุ่นได้ 

อดใจรออีกไม่นาน เดี๋ยวไลฟ์อีสจะมาอัพเดทให้ฟังกันแน่นอนฮะ