Share

จุดเปลี่ยนในชีวิต – อุ๋ย บุดด้าเบลส

April 9, 2018

Lifeis

หลังจากที่เราได้รู็จักประสบการณ์สุดแสบของอุ๋ยไปแล้วในบทความก่อน ตอนนี้ LIFEiS จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของอุ๋ยได้ ติดตามกันต่อได้เลยฮะ

สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก เข้าไปอ่านก่อนได้ที่นี่ฮะ “ประสบการณ์วัยมันส์-อุ๋ย บุดด้าเบลส”

ครั้งที่แล้ว เราทิ้งท้ายกันไว้ที่ว่า “เพื่อน” เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เราไม่ทำตามกรอบทั้งๆที่ก็รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด วันนี้เราจะมาเข้าคำถามที่ทุกคนรอคอยกันเลยดีกว่า

แล้วทำไมถึงเลิกยาเสพติดได้

ผมคิดว่าช่วงที่ผมเล่นยาเสพติด ผมเล่นเพราะ “ติดใจ” แต่ที่ผมถอยออกมา เพราะผมมีจุดเปลี่ยนในชีวิต ผมไม่ได้เลิกได้ในทันที่ แต่ผมค่อยๆถอยออกมา

จุดแรกที่ทำให้ผมถอยคือ “ครอบครัว”

ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณปี 1-2 ผมเรียนรามฯ ไม่ต้องเข้าไปเรียน เพื่อนผมส่วนมากก็จะมีฐานะ แต่พ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน จะให้เงินเอาไว้ ลูกอยู่บ้านคนเดียว ในขณะที่บ้านผมต้องให้ผมกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกันทุกวัน พอเราไม่กลับเค้าก็ตาม ถ้าเรากลับไปตอนเมาอยู่ เราก็ต้องเกร็ง เพื่อไม่ให้เค้ารู้ว่าเราเสพยา แล้วมันทรมานมาก ถ้าถามว่าตอนนั้นพ่อแม่รู้มั๊ย ผมคิดว่าเค้าอาจจะไม่รู้ (หรือว่ารู้แต่อาจจะไม่พูดก็ได้ เพราะผมไม่เคยถาม) แต่พอผมพยายามที่จะปกปิดแล้วผมอึดอัดเอง กลัวโดนทำโทษ แล้วก็กลัวไม่ได้เงินไปซื้อยาอีก มันเลยทำให้ผมรู้สึกลำบากในการเสพยามากขึ้น

จุดที่ 2 คือ ตอนนั้นเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ที่บ้านลำบากขึ้น

เริ่มไม่มีเงินใช้เหมือนแต่ก่อน ตอนนั้นคิดว่าที่บ้านอาจจะเริ่มระแคะรายเรื่องที่เสพยาเพราะเค้าไปเจอขวดพลาสติกเจาะรูที่ผมเอาไว้สูบ แล้วแม่กับพี่สาวมาบอกเราว่า “เพื่อนเค้าทำตัวแบบนั้นได้ เพราะบ้านเค้ามีฐานะ มีกิจการให้กลับมาดูแล แต่เราไม่มีอะไร ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ ชีวิตเราอาจจะลงเหวได้นะ ให้คิดดูดีๆ” ผมเลยเริ่มสำนึกขึ้นมา แล้วอยากรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ก็เลยเริ่มถอย แล้วก็โชคดีที่เพื่อนไม่ค่อยเซ้าซี้ กดดัน ผมเลยเสพน้อยลงไปเยอะ

หลังจากนั้นประมาณ 2-3 ปี บ้านผมก็ไฟไหม้ ผมเลยต้องเริ่มหางานทำตอนเรียนไปด้วย ตอนนั้นผมได้ทำงานในตำแหน่งรองผู้ช่วยพนักงานถ่ายเอกสาร (อันนี้ผมตั้งของผมเอง) ถึงจะไม่ชอบแต่ก็ต้องทำ เพราะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบแล้ว

ตอนนั้นผมยังไม่ได้เลิกยาได้เด็ดขาด แต่พ่อแม่ผมไม่เคยทิ้งผมไปไหนเลย ในวันที่พ่อแม่ลำบาก ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ แต่พอเราอยากได้อะไร เค้าก็ยังพยายามจะเจียดเงินเพื่อหาสิ่งที่เราอยากได้มาให้ แต่ในทางกลับกัน อย่างกรณีของเพื่อนผม พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ให้เงินลูกมาอยู่เอง เปิดโอกาสให้ลูกมากเกินไป กลับกลายเป็นการทำลายลูกมากกว่า ดังนั้น ผมคิดว่าเวลาและความรักของครอบครัวจึงสำคัญมากๆกับเด็กในวัยนี้

จุดเปลี่ยนสุดท้ายจริงๆคือ ศาสนา

หลังจากที่บ้านไฟไหม้ ผมก็ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม ทำให้ผมรู้ว่าผมเข้าใจอะไรผิดไปหลายอย่าง เริ่มรู้ทันตัวเอง รู้จักตัวเอง และก็มีสติมากขึ้น แล้วผมเชื่อว่า “สติ” มีส่วนในการดำเนินชีวิตมากจริงๆ พอได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้นแล้วผมก็เริ่มอยากศึกษามากขึ้นเลยไปบวช แล้วก็อยากชวนคนมาปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งถ้าเราอยากไปชวนคนมาปฏิบัติดี แต่เรายังติดยาอยู่ คำพูดเราก็จะไม่มีน้ำหนัก ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจเลิกยาเด็ดขาด

นอกจากกัญชาแล้ว ผมก็เลิกบุหรี่ด้วย ตอนนั้นผมเมา ผมดูดบุหรี่ 2 ซองภายใน 1 ชั่วโมง ถือบุหรี่สองมือ แล้วก็สลับกันเอาขึ้นมาดูด ดูดไปจี้ตัวเองไป พอเช้ามานี่ทั้งบ้วนปาก แปรงฟัน แต่กลิ่นบุหรี่ก็ยังติดอยู่ในโพรงจมูกเป็นอาทิตย์ ทำให้ผมขยาดบุหรี่มาก แล้วเลิกไปเลย ถ้าใครอยากเลิกบุหรี่ แล้วยังเลิกไมได้ ลองเอาวิธีนี้ไปลองดูได้นะครับ

ถ้าคุณอุ๋ยมีลูกแบบตัวเอง คิดว่าจะรับมือยังไง

คิดว่าคงเครียดมาก แต่คิดว่าถ้าลูกอยากลอง ผมจะลองด้วยกันกับเค้า จะพาเค้าลองเองเลย แล้วจะทำด้วยกันเป็นเพื่อน ผมเห็นเพื่อนหลายคนที่สมัยตอนเป็นวัยรุ่นไม่เคยแตะพวกนี้เลย แต่มาดีแตกเอาตอนโต ในขณะที่ตัวผมเองเบื่อเรื่องเที่ยว เรื่องปาร์ตี้มานานมากแล้ว เพราะได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าลูกผมอยากเรียนรู้ ก็ให้เค้าเรียนรู้ไปแต่อยู่ในสายตาเราดีกว่า

ผมเคยเถียงกับผู้ใหญ่เรื่องเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน เพราะผมสนับสนุนให้ในโรงเรียนมีตู้ถุงยาง ซึ่งทางผู้ใหญ่คิดว่าทำแบบนั้นเป็นการสนับสนุนเด็ก ซึ่งผมก็เข้าใจนะ แต่ผมก็คิดว่าการยิ่งห้ามจะเหมือนกับเป็นการยิ่งยุ ดังนั้นเราควรสอนให้รู้จักป้องกันมากกว่า แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบคำตอบที่ผมชอบมากจากพระอาจารย์ฌอน ชยสาโร ท่านเทศน์ไว้ว่า

“ถึงเวลาที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านแล้วเด็กมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง สิ่งเดียวที่จะห้ามได้คือความยับยั้งชั่งใจในตัวเค้าเอง และมันไม่ได้เกิดจากการดีดนิ้วแล้วมีเลย แต่เกิดจาการฝึกฝนมาเป็นระยะเวลายาวนาน”

ดังนั้น พ่อแม่ควรฝึกให้เด็กรู้จักอดทน รอคอย ยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องได้ เพราะถ้าไม่เคยฝึกเลยแล้วอยู่ๆวันหนึ่งมาบอกว่า sex ในวัยเรียนเป็นเรื่องไม่ควรทำ ยาเสพติดเป็นเรื่องไม่ควรลอง แต่เพื่อนรอบๆตัวลองกันหมด เด็กวัยรุ่นคงอดไม่ไหว ซึ่งตรงนี้พ่อแม่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างความเข้มงวดและสติให้ดี นี่แหละที่ผมคิดว่ายากที่สุด

อีกอย่างหนึ่งที่เราต้องตระหนักเอาไว้ คือ ทุกบ้านไม่ได้ถูกปลูกฝังมาเหมือนกัน ต่อให้เราปลูกฝังลูกเรามาดีมากแล้ว แต่ลูกก็มีโอกาสไปเจอคนที่ไม่ได้ปลูกฝังมาเหมือนกัน มันก็มีผลต่อลูกเราด้วย สิ่งปลุกเร้าในสังคมสมัยนี้ก็เยอะ จริงๆแล้วตอนนี้ภาครัฐก็พยายามช่วยเรื่องนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขเองก็พยายามแก้ และจัดให้มีคลีนิควัยรุ่นกระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถไปขอถุงยางได้ฟรี ฝังยาคุมได้ฟรี เพื่อจะลดปัญหาเรื่องท้องก่อนวัยอันควร แต่เด็กไม่ค่อยกล้าไปเพราะอาย ผมไม่อยากให้มองว่าการทำแบบนี้เป็นการสนับสนุนว่าให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนได้ แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า ถ้าดูกันตามสถิติแล้ว ประเทศเรามีเด็กที่ท้องโดยที่ยังไม่พร้อมเยอะมาก

ตอนนี้เราต้องช่วยกันปลูกฝังในทุกๆวัย เพราะถ้าเราโฟกัสไปแค่ที่วัยรุ่น เด็กเล็กตอนนี้พอโตขึ้นมาก็ต้องมาสอนกันอีก แต่ถ้าปลูกฝังแค่กลุ่มเด็กเล็ก เด็กวัยรุ่นตอนนี้ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งพ่อแม่จะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการปลูกฝังเรื่องเหล่านี้

พี่บอยเสริมว่า จากประสบการณ์การเลี้ยงลูกของตัวเอง ปกติลูกพูดอะไรขึ้นมาแล้วเราไม่รู้จะรับมือยังไง เราจะปฏิเสธไปก่อน เพื่อเอาเวลากลับมาตั้งสติ แล้วกลับไปพยายามคุยกัน ถ้าพ่อแม่รู้จักคุยกันเปิดใจกับลูก ยอมรับกับลูกว่าตัวเองไม่ใช่พ่อแม่ที่ perfect อาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้ ยอมให้ลูกมองเห็นจุดอ่อนของตัวเอง มันอาจจะทลายกำแพงระหว่างกัน ทำให้ลูกยอมเปิดใจมากขึ้น และทำให้เข้าใจกันและกันได้มากขึ้นได้

 

คิดอย่างไรกับเด็กมีปัญหาในสังคม

เด็กบางคนถูกตีตราไปเรียบร้อยแล้วว่าเป็น “ขยะสังคม” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กแวนท์ เด็กช่าง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กช่าง ที่จริงๆแล้วสำคัญมาก เพราะเด็กในกลุ่มนี้เป็นอาชีพที่สังคมต้องการ แต่ภาพลักษณ์ของเด็กกลุ่มนี้คือ เด็กตีกัน ซึ่งพอโดนสังคมมองว่าเป็นแบบนั้นไปแล้ว เค้าอาจจะไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นจริงๆของเค้าออกมาได้

ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเรารักที่จะทำอะไรมากๆแล้ว เราจะมีแรงบันดาลใจ (Passion) เช่นพวกเด็กแวนท์นี่จริงๆแล้วหลายคนก็แต่งมอเตอร์ไซด์เก่งมาก ถ้าพาไปอยู่ถูกที่ถูกทาง เอามาเป็นเป็นอาชีพให้เป็นเรื่องเป็นราว อาจจะได้ดีกว่านี้ บางคนพอถูกสังคมตีตราแล้วแสดงออกโดยการประชดเป็นเด็กแวนท์ไป แต่ถ้าพวกเค้าลองปรับทัศนคติใหม่ได้ เปลี่ยนความคิดว่าให้กลายเป็นว่าอยากพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าเราทำเรื่องดีๆได้ การแสดงออกมันจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ทำได้แค่เตือน ถ้าเตือนแล้วไม่ฟัง เราก็ต้องปล่อยเค้าไปเหมือนกัน

ผมว่าผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของการขี่มอเตอร์ไซด์ เพราะตอนนี้ผมเองก็ขี่แล้วผมก็รู้สึกเป็นอิสระมาก  สมัยผมเป็นวัยรุ่น แค่การออกมาเจอเพื่อนตอนกลางคืนก็สนุกแล้ว กลุ่มเด็กแวนท์ที่มารวมตัวกับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซด์ด้วยกันมันยิ่งสนุกเข้าไปกันใหญ่  แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเกิดอันตรายขึ้นมามันจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างมหาศาลตามมาด้วย ซึ่งผมรู้ว่าทุกคนก็คงคิดว่า “คงไม่ใช่เราหรอก”

จริงๆเคยมีคนพยายามทำสนามแข่งให้ เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้มีที่ให้แสดงความสามารถตัวเองได้เต็มที่ แต่เด็กๆเค้าคิดว่า ไม่มีสนามจะสะดวกกว่า กับการขี่บนถนนที่มีรถคันอื่นอยู่ด้วยมันตื่นเต้นกว่า เราเลยยังหาที่ให้เด็กมาเรียนรู้ และค้นพบศักยภาพตัวเองไม่ได้จริงๆ

ผมอยากบอกน้องๆที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครสนใจ แล้วอยากประชดชีวิตด้วยการเดินลงเหวว่า สิ่งที่ผม หรือคนอื่นๆทำได้ คือทำได้แค่เตือนด้วยความหวังดี และให้ข้อมูลว่าคนที่เคยตัดสินใจแบบนั้นทุกวันนี้เค้ามีชีวิตยังไง แต่ถ้าคุณยังไม่เชื่อ และอยากจะเดินลงเหวอยู่นั้น พวกผมคงทำได้แค่ปล่อยวาง และให้คุณเรียนรู้ในสิ่งที่พวกคุณตัดสินใจเอง

 

ต่างประเทศมีปัญหาเหล่านี้บ้างมั๊ย

ในต่างประเทศปัญหาจะน้อยกว่าเรา ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะพ่อแม่เค้าให้ลูกทำงานเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้สนับสนุนทางการเงินมากนัก เด็กวัยรุ่นในเมืองนอกนี่ต้องออกไปทำงานเลี้ยงตัวเองแล้ว เค้าเลยไม่มีเวลามาคิดอะไรแบบนี้ ในขณะที่ค่านิยมไทย ถ้าเด็กวัยรุ่นออกไปทำงานพิเศษ แปลว่าจน ทางบ้านก็ไม่สนับสนุน ซึ่งเราอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องนี้ก็กระทบสังคมอย่างมาก

ผมคิดว่าการที่เด็กต้องดูแลตัวเอง ต้องรับผิดชอบตัวเอง เด็กจะมีคุณภาพแน่นอน ต่อให้รับผิดชอบแค่งานเล็กๆน้อยๆ แต่มันก็มีโอกาสทำให้เค้าหาศักยภาพตัวเองเจอ และสามารถต่อยอดขึ้นไปสู่งานที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆได้

 

สุดท้ายนี้ อยากบอกอะไรกับพ่อแม่ที่มีลูกที่มีปัญหาอยู่

ผมอยากบอกว่า “อย่าเพิ่งหมดวังในตัวลูก” เท่าที่ผมเคยทำงานมาในสถานพินิจ เด็กในนั้นหลายคนที่แม้จะมีความผิดในคดีอุฉกรรจ์ฆ่าพ่อแม่ บางคนก็สามารถกลับตัวได้ และผมเคยคุยกับพระที่ทำโครงการเหล่านี้ ท่านบอกว่า

“จริงๆแล้วมนุษย์เราเท่าที่ท่านเคยเจอ ไม่มีใครซักคนที่เลวโดยกำเนิด ส่วนใหญ่แล้วเพราะไม่ได้รับโอกาสที่ดี ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะมีพ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับตัวเอง ทุกอย่างที่เค้าเป็น ล้วนเป็นเพราะถูกปลูกฝังและหล่อหลอมมาให้เป็นแบบนั้น ดังนั้น หากวันหนึ่งเด็กเหล่านี้ได้รับโอกาสที่ดี มีคนคอยชี้ทางที่ถูก เค้าก็จะกลับมาเป็นคนดีได้”

ดังนั้น ผมเลยอยากบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า อย่าเพิ่งหมดหวังครับ ผมเชื่อว่ามันต้องมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แม้กระทั่งตัวเราเอง เรายังไม่ดีพร้อม จะไปคาดหวังให้ลูกสมบูรณ์แบบ ได้ดั่งใจทุกอย่างคงเป็นไปได้ยาก มันต้องปล่อยวางบ้าง ให้คิดว่าลูกคุณอยู่ระหว่างการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งข้อดีคือ ถ้าเค้าเรียนรู้ว่าผิดพลาดแล้ว โอกาสที่จะกลับไปผิดอีกครั้งจะน้อยมาก เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้กำลังใจ ถ้าลูกคุณล้ม อย่าไปซ้ำ หรือถ้าเค้าไม่ฟัง ลองหาอุบายใหม่ๆในการสอนดู ลองเรียนรู้ลูก แล้วเปลี่ยนวิธีคุยกับเค้าด้วย

พี่นภขอเสริมว่า หลายครั้งที่เคยได้ยินพ่อแม่พูดว่า สอนอะไรลูกก็ไม่ฟัง อยากจะบอกว่าจริงๆแล้วเค้าฟังทุกคำพูด ทุกอารมณ์ของคุณพ่อคุณแม่เลย อยากให้พ่อแม่แสดงความรักกับลูกมากๆ แสดงความห่วงใย ความเอื้ออาทรให้กับเค้า ซึ่งเค้ารับรู้แน่นอน แต่จะเก็บมันไว้ วันนึงถ้าเค้านึกได้ เค้าจะกลับมาหาพ่อแม่เอง

เป็นยังไงบ้างฮะ ฟังประสบการณ์ของอุ๋ยแล้วคิดเห็นยังไงกันบ้าง ??

ทาง LIFEiS คิดว่ามีข้อคิดมีทีเดียวสำหรับทั้งคนที่เป็นพ่อแม่ที่ต้องรับมือกับปัญหากับลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น และสำหรับทั้งวัยรุ่นเองที่อาจจะกำลังอยู่ในวัยคะนองอยู่ ถ้าได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของอุ๋ยแล้ว อาจจะช่วยในการเลือกตัดสินใจได้ดีขึ้นก็ได้

ยังไงก็แล้วแต่ ทาง LIFEiS ขอป็นกำลังใจให้กับทุกคนให้มีสติในการตัดสินใจในการใช้ชีวิตนะฮะ ถ้าใครมีประสบการณ์ดีๆที่อยากแชร์กับคนอื่น หรือมีคำถามอะไร สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ contact@lifeisgroup.org ได้ตลอด หากทาง LIFEiS สามารถช่วยได้ เราก็ยินดีเสมอฮะ